สำรวจกายใจ 1
ติ๋ว นันทนา INNER COACH
วันนี้มาชวนท่านผู้อ่านเดินทางขึ้นไทม์แมชชีน ย้อนเวลาไปสำรวจบางอย่างด้วยกัน
ถ้าท่านเปิดใจค่อยๆอ่านและจินตนาการไปพร้อมๆกันแล้วละก็ ความสนุกเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
ท่านจะรุ้สึกเหมือนท่านได้ย้อนเวลาไปจริงๆ
กลับไปดูเราตั้งแต่ก่อนเกิดมาดูโลกใบนี้ การเกิดเป็นเราเริ่มตั้งแต่ปฏิสนธิ ผู้หญิงที่เข้าสู่วัยเจริญพันธ์ุเมื่อมีไข่สุกและออกจากรังไข่แล้วไข่ก็เคลื่อนที่เข้าสู่ท่อนำไข่ มีอสุจิเพียงตัวเดียวเท่านั้นที่เข้ามาผสมกับไข่ได้ ผู้เขียนเคยดูในสารคดีแล้วนึกอยู่ว่า เพราะอะไรไข่ถึงยอมให้อสุจิตัวนี้เท่านั้นเข้ามาได้ทั้งที่มีตัวอื่นๆว่ายมาถึงไข่ก่อนแต่เข้าไม่ได้ จะเข้ามาได้ต้องเป็นอสุจิตัวนี้ตัวเดียวอย่างนั้นหรือที่จะมาผสมกับไข่ใบนี้ได้ หรือไข่ไม่ยอมให้อสุจิตัวอื่นเข้ากันแน่ รอคอยเพียงเธอรึเปล่า มีเพียง 1 ตัว จาก300-500ล้านตัว ซึ่งก็คงต้องตามนั้น ถ้ามีเหตุให้อสุจิเข้าไปพร้อมกันได้2ตัว ก็เป็นลูกฝาแฝด
สรุปว่าเมื่อเข้าไปได้แล้วภายในเวลา 12 ชั่วโมง ตัวอสุจินั้นจะรวมเข้ากับไข่เกิดเป็นการปฏิสนธิถือเป็นจุดเริ่มต้น ของการมีตัวเราที่เกิดขึ้นมา ภายหลังจากการปฏิสนธิแล้วก็จะเริ่มแบ่งเซลล์จาก2เป็น4 แบ่งไปเรื่อยๆจนได้เป็นกลุ่มเซลล์และเคลื่อนที่ไปยังผนังมดลูกซึ่งหนาตัวขึ้นเพื่อรองรับการฝังตัวของไข่ที่ได้รับการผสม ภายในเวลา6-7วัน กลุ่มเซลล์ที่มีการเปลี่ยนแปลงถึงระยะนี้เรียกว่าเอ็มบริโอหรือตัวอ่อน เมื่อตัวอ่อนฝังที่ผนังมดลูกแล้วในระยะนี้จะมีการพัฒนาอวัยวะพิเศษของตัวอ่อนนั่นคือรก
ซึ่งมีลักษณะเป็นร่างแหหลอดเลือดหนา รกทำหน้าที่ดูดซึมอาหาร และออกซิเจนจากผนังมดลูกส่งมาเลี้ยงตัวอ่อนและหลังจากที่ตัวอ่อนฝังตัวที่ผนังมดลูกแล้วก็เริ่มพัฒนาอวัยวะต่างๆ
อวัยวะแรกของเราคืออะไร อายุ 21 วันนั้นเราเริ่มมีหัวใจใช่คะ หัวใจเป็นอวัยวะแรกและตามมาด้วยอวัยวะอื่นๆสมอง ตา ปุ่มแขนขา หัวใจเจริญเติบโตมากขึ้นขณะที่เราอยู่ในท้องแม่อยู่ในถุงน้ำคร่ำซึ่งช่วยปกป้องเราเป็นอย่างดี ทารกได้รับอาหารและอากาศโดยผ่านทางรก ผู้เขียนเคยมีประสบการณ์ได้สัมผัสถึงความรุ้สึกตอนอยู่ในท้องแม่จากการสะกดจิตบำบัด Hypnotherapyที่เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการจิตบำบัดPsychotherapy ซึ่งเป็นงานที่ผู้เขียนทำอยุ่ในปัจจุบัน จำสภาวะตอนอยู่ในท้องแม่ได้เป็นอย่างดีมันยอดเยี่ยมมากๆ รุ้สึกสบาย ในท้องแม่เป็นพื้นที่ที่ดีที่สุด ไม่มีอะไรจากภายนอกทำอะไรเราได้เลย เรารุ้สึกสบาย ไม่อยากออกมาเลย ในท้องแม่นั้นดีงามที่สุด เงียบสงบ เบาสบาย นุ่นนวล ปลอยภัยและอบอุ่นจริงๆ
นอกจากอาหารและอากาศซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตและรอดชีวิตของเราแล้วอารมณ์ของแม่ขณะตั้งครรภ์ก็มีผลต่อพัฒนาการของเด็กในท้องด้วยซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ผู้เขียนมักพูดบ่อยว่าแม่กินอะไรลูกก็ได้กินอันนั้น แม่คิดอะไร แม่รู้สึกอะไร แม่มีอารมณ์แบบไหนลูกก็ได้รับอารมณ์นั้นเช่นกันโดยอัตโนมัติ เด็กในท้องรับรู้ได้ทุกอย่างโดยละเอียดเหมือนถูกติดตั้งโปรแกรมติดตัวตั้งแต่อยู่ในท้องแม่โดยที่บางทีแม่ไม่รู้เลยว่าอารมณ์ความคิดความรู้สึกของแม่นั้นลูกรับรู้ทุกอย่างได้ในทันที และได้ปรุงแต่งตีความตามสัญชาตญาณตัดสินให้ข้อสรุปและเป็นความเชื่อไปเรียบร้อยแล้ว เช่นเมื่อแม่มีความสุขตอนท้อง ลูกก็จะมีความสุขเช่นกันหรือถ้าแม่มีความวิตกกังวลลูกก็มีความรู้สึกนั้นร่วมด้วย แม่ลูกเป็นหนึ่งเดียวกันเฉกเช่น เมื่อจิตใจเราผ่อนคลายร่ายกายเราก็ผ่อนคลายได้ดีตามไปด้วย
เด็กส่วนใหญ่อยู่ในท้องแม่ประมาณ9เดือน อาจบวกลบระยะเวลาตามเหตุปัจจัยของแต่ละคน ระยะเวลารวมประมาณ 280 วันนั้น ฟังดูเหมือนง่ายนิดเดียวที่จะเกิดมาเป็นมนุษย์แม้จะเคยได้ยินว่าการได้เกิดมาเป็นมนุษย์นั้นเป็นเรื่องยาก เรารีบไปกันต่อดีกว่า ต่อเมื่อครบกำหนดคลอด รกเริ่มสลายตัว ทารกเตรียมพร้อมจะคลอด มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับตัวของแม่ ปากมดลูกเปิด ถุงน้ำคร่ำแตก มดลูกบีบตัวอย่างแรงดันให้ทารกออกมาจากช่องคลอด. ปัจจุบันนี้แล้วแต่ว่าคุณแม่จะคลอดแบบไหน ทันทีที่เราออกมาจากท้องแม่เราก็ร้องไห้เสียงดังใหญ่เลย ทารกที่คลอดออกมาร้องไห้เพราะอะไร น่าสนใจมั้ยคะ ก่อนจะคลอด เราซึ่งเป็นทารกน่าจะมีกังวลบ้างละ เหมือนในชีวิตเราที่หากต้องมีการเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆที่เคยชิน คุ้นชิน หรือผูกพันธ์กับอะไรมาก็ใช่ว่าจะไม่สะเทือนกับการเปลี่ยนแปลง เรายึดเราติดสิ่งต่างๆกันเสมอ และกว่าที่ทารกจะผ่านช่องว่างในที่คับแคบออกมาได้นั้น ทั้งแม่และลูกต้องมีประสบการณ์ที่ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องง่าย ทารกคลอดออกมาก็เจอหลายอย่างมากมายที่ไม่เหมือนตอนอยุ่ในท้องแม่ ใช่คะ นี่ก็เป็นอีกหนึ่งการเดินทาง ทางธรรมชาติ ชีวิตเรามีที่มาแบบเดียวกันเราทุกคนมีรูปการเกิดที่เหมือนกันแล้วอะไรที่ทำให้คนเราเกิดมาต่างกัน เราเดินทางเรียนรู้ร่วมกันมาเป็นเรื่องน่าสนุกใช่มั้ยคะ ฉบับหน้าเรามาร่วมสำรวจกายใจด้วยกันอีกนะคะ สนุกแน่นอนค๋ะ
สำรวจกายใจ 2
ติ๋ว นันทนา INNER COACH
ชวนเป็นหนูน้อยนักสำรวจเป็นเพื่อนร่วมเดินทางกันต่อนะคะ เหมือนเดิมคะ การรู้สึกผ่อนคลายในการอ่านจะช่วยให้คุณผู้อ่านรุ้สึกเพลิดเพลินกับบทความนี้มากยิ่งขึ้น ฉบับที่แล้วเราเดินทางคลอดออกมาจากท้องแม่กันได้อย่างปลอดภัย และเราก็ร้องไห้เสียงดังกันใหญ่เลย
ปัจจุบันโดยส่วนใหญ่ก็คลอดลูกที่โรงพยาบาล ซึ่งถ้าเป็นคนไทยสมัยก่อนก็คงเป็นหมอตำแยทำคลอดที่บ้าน เคยได้ยินผู้ใหญ่ท่านเล่าให้ฟังว่าในสมัยโบราณคนมักคลอดลูกที่บ้านเมื่อคลอดเสร็จแล้วก็จะนำรกของเด็กที่ออกมาจากท้องแม่ด้วยนั้นไปฝังไว้ที่รากของต้นไม้ใหญ่ใกล้บ้าน นั่นคืออีกหนึ่งความหมายและที่มาของคำว่า”รกราก” ซึ่งก็คือบ้านเกิดที่แท้จริง คือถิ่นกำเนิดที่เราคลอดออกมาจากท้องแม่ของเราที่ตรงนี้นั่นเอง
ในเวลาต่อมาทุกวินาทีคือการเจริญเติบโตของเรา ทั้งในยามหลับและยามตื่น เราเริ่มโตขึ้นน้ำหนักมากขึ้น พวกเราโตวันโตคืน ตอนเราอายุ 1 เดือน หากจะเริ่มพูดถึงการมองเห็น เวลาที่ผู้ใหญ่มาคุยมาเล่นกับเรา ในการมองนั้น เราจับภาพได้ในระยะใกล้ๆที่อยู่ห่างไม่เกิน 8 นิ้ว ภาพอาจเบรอๆ พวกเราอาจยังจับภาพได้ไม่ชัดนักแต่พวกเราจับความรู้สึกได้ชัดเจนทุกความรู้สึก พวกเรารับรู้และเก็บทุกความรู้สึกบันทึกไว้ในความทรงจำของเราเสมอไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นกับเรา เราสัมผัสและเรารับรู้ได้ทุกอย่างในการตีตามความแบบของเรา เช่นเวลาเรารู้สึกหิว เรารู้สึกกลัว เรารู้สึกชอบใจ ไม่ชอบใจ ผู้ใหญ่อาจคิดว่าพวกเรายังเด็กยังไม่รู้อะไรแต่ความจริงคือเรารับรู้ทุกอย่าง เรามีความรู้สึกเหมือนที่ผู้ใหญ่มี ไม่ว่าเราจะสามารถสื่อสารออกมาให้ผู้ใหญ่รับรู้และเข้าใจได้ชัดเจนหรือไม่ก็ตาม.
อันที่จริงตาของเราทำงานเหมือนกล้องรูเข็มหมายความว่าภาพที่มองเห็นคือภาพกลับหัว กลับหางและสลับหน้าหลัง เพื่อให้สมองของเรานั้นได้เริ่มฝึกในการปรับแก้ สลับภาพและพลิกกลับภาพให้เป็นด้านที่ถูกต้อง การจับภาพการจับความเคลื่อนไหวและแม้กระทั่งการรับรู้ถึงความลึก เราค่อยๆพัฒนาขึ้นทุกวัน ใช้เวลานานกว่ามาก6เดือนสายตาของเราเริ่มพัฒนามากขึ้นอีก เห็นมั้ยคะ ว่าเราเริ่มทำงานกันตั้งแต่เกิดเลย ทุกอย่างในชีวิตของเราคือการฝึก ไม่มีอะไรที่เกิดหรือเป็นขึ้นมาได้เองหรือที่เราเคยได้ยินบางสำนวนที่ว่าไม่ใครเก่งมาแต่เกิด ใช่ว่าเกิดมาแล้วเรามองเห็นชัดเจนเลยทันที มันเป็นกฎของธรรมชาติ เมื่อสิ่งนี้มีสิ่งนี้ย่อมมี ไม่ว่าเราจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม ที่ตรงตามความเป็นจริงคือทุกอย่างในโลกนี้ล้วนมีเหตุและมีผลเสมอ เป็นหน้าที่ของธรรมชาติที่ต้องจัดสรรดูแล การเจริญเติบโตของเราก็เหมือนการเจริญเติบโตของต้นไม้และของสิ่งมีชีวิตทุกอย่าง ที่ต้องอาศัยปัจจัยต่าง ๆในการเจริญเติบโต มนุษย์อาศัย อาหาร อากาศ ต้นไม้ก็เช่นกัน เพียงแต่มนุษย์เป็นสัตว์สังคมก็ต้องการปัจจัยในการมีชีวิตที่เพิ่มเติมมากขึ้นและดูเหมือนจะมากขึ้นเรื่อยๆ ท่านผู้อ่านเห็นด้วยมั้ยคะ
หลังจากนั้น ทุกอย่างดูจะเป็นช่วงสำคัญมากสำหรับพัฒนาการของเรา พอพวกเราอายุประมาณ 6 เดือนกันแล้ว ฟันของพวกเราเริ่มขึ้น ดีใจมั้ย ไปฉลองกันคะ ฟันเริ่มขึ้นเองตามการเจริญเติบโตของธรรมชาติ เรามาจินตการเป็นภาพด้วยกันนะคะว่า ฟันที่เป็นเหมือนกระดูกแข็งๆ ค่อยๆแทงทะลุขึ้นมาจากเหงือกอันอ่อนนุ่มของเรา รู้สึกยังไงกันบ้างคะ ฟันเป็นสิ่งที่แข็งที่สุดในร่างกายของมนุษย์และสัตว์ ฟันน้ำนมมีทั้งหมด20ซี่ กว่าที่ฟันน้ำนมจะขึ้นครบนั้นเราต้องผ่านการทนทุกข์ทรมานกับฟันที่ขึ้นแบบนี้ถึง 20 ครั้ง บางคนถึงขั้นป่วยเป็นไข้ตอนที่ฟันเริ่มขึ้นก็มี เชื่อว่าตอนฟันขึ้นนั้นเป็นการเติบโต เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญและรุนแรงอีกครั้งหนึ่งในชีวิตเราเลยทีเดียว
อีกอย่างนึงคืออาจมีผลต่อการปรับตัวของร่างกายซึ่งพ่อแม่หรือผู้ดูแลอาจคาดไม่ถึงก็เป็นได้ ในช่วงนี้เราอาจหงุดหงิด งอแงมากขึ้นบ้างเพราะอาจมีอาการอยากกัด ที่เคยได้ยินว่ามันเขี้ยว หรืออาจเจ็บบริเวณหูได้ถ้าฟันกำลังจะขึ้นแถวขากรรไกรซึ่งอวัยวะทุกส่วนในร่างกายของเรานั้นทำงานเชื่อมถึงกันตลอดเวลา แม่ของพวกเราท่านก็ต้องผ่านการเจ็บปวดจากการขึ้นของฟันเรา ตอนเราดูดนมอาจมันเขี้ยวกัดหัวนมแม่ของเราโดยไม่ได้ตั้งใจ บางคนก็อาจจะได้กินนมจากขวดก็ตอนนี้เอง การอย่านม อาจเริ่มเข้ามาในช่วงนี้ เป็นเรื่องไม่ง่ายเลยที่จะให้พวกเราที่เคยดูดนมแม่จากเต้าจนหลับแล้วจะให้เลิกกันง่ายๆ ลองจิตนการดูอีกครั้งนะคะว่าตอนเราเป็นเด็กแล้วเราได้ดูดนมจากเต้านมของแม่ แม่กอดเราไว้ในอ้อมแขนจนเราหลับคาเต้านั้นเรารู้สึกมีความสุข อบอุ่น ทำให้เราหลับได้อย่างสบายหัวใจได้ขนาดไหน มีความสุขมากใช่มั้ยคะ ดังนั้นจะให้อย่านมง่ายๆ ไม่มีทาง พวกเราจึงต้องงอแง ร้องไห้กันสุดชีวิต เพื่อให้ได้ดูดนมจากเต้าของแม่เรา ซึ่งหลายครั้งก็ดูเหมือนจะสำเร็จเพราะแม่ใจอ่อน แม่มักทนเห็นลูกร้องไห้ไม่ได้ ใช่คะ ไม่ง่ายเลย คุณแม่หลายท่านต้องหาสาระพัดวิธี คุณแม่บางท่านใช้วิธีหักดิบ เพื่อทำให้ลูกยอมหย่านม ซึ่งลูกจะงอแงร้องไห้หนักมากแต่เมื่อแม่ให้เวลากับลูกมากขึ้น การงอแงของลูกจะน้อยลง ถ้าเป็นวิธีโบราณที่ผู้เขียนเคยได้ยินคือ ใช้บอระเพ็ด มาทาที่หัวนมของแม่ พอเด็กดูดจะรู้สึกถึงรสขมที่ปาก จะว่าไปแล้วขนาดเราที่เป็นผู้ใหญ่เคยลองแตะๆชิมบอระเพ็ดเพียงปลายลิ้นยังขมมากๆ แล้วหนูน้อยดูดเข้าไปเต็มปากอาจต้องขมกันไปทั้งวันเลยทีเดียวก็เป็นได้
นึกๆดูก็น่าทึ่งเหมือนกันนะคะว่าชีวิตเรากว่าจะผ่านปรากฎการณ์ฟันน้ำนมมาได้นั้นไม่ง่ายเลย เท่านี้ก็น่าจะเพียงพอสำหรับการเรียนรู้ที่ทำให้เราทุกคนตระหนักได้ว่าชีวิตในตอนที่เราเป็นเด็กตัวเล็กนิดเดียวนั้น เราผ่านสิ่งต่างๆที่ไม่ง่ายมาแล้วมากมาย ตอนนี้ในวันที่เราโตเป็นผู้ใหญ่ ไม่ว่าเรื่องอะไร จะหนักสักเพียงไหน เราก็ต้องผ่านพ้นไปได้อย่างแน่นอนคะ
สำรวจกายใจ 3
ติ๋ว นันทนา INNER COACH
ณ เวลานี้ เป็นเวลาที่ดีที่เราจะเริ่มเดินทางเรียนรู้กันต่อ การเรียนรู้ในแง่มุมใหม่ๆ เป็นเรื่องที่น่าท้าทายใช่ไหมคะ ที่จริงแล้วตลอดเวลาสิ่งเดียวที่แน่นอนในชีวิตของเราคือ “การเปลี่ยนแปลง”
คนเรานั้นเปลี่ยนแปลงตนเองทุกวันทุกนาทีตั้งแต่เกิด ซึ่งดำเนินการโดยธรรมชาติ ฉบับนี้ยังชวนสำรวจชีวิตในวัยเด็กของเรากันคะ ตั้งแต่เกิดมาคำๆ แรกที่เราพูดได้คือคำไหนกันบ้างคะ เราเรียกพ่อหรือแม่ได้ก่อนกัน คำแรกที่เราพูดได้คืออะไร เคยได้ยิน มามา หรือ หม่ำหม่ำ ชักไม่แน่ใจ เราเริ่มอยากรู้อยากเห็นมากขึ้น เราเริ่มคลาน เริ่มตั้งไข่ เริ่มทำท่าโก้งโค้งยืดตัวขึ้นยืน และเริ่มหาอะไรเกาะเพื่อที่จะยืนเองตามลำพัง ลองแล้วลองอีกเรียนรู้จนกว่าจะเจอวิถีในรูปแบบของตนเอง และมีก้าวเล็กๆ ทีละก้าวมากพอที่จะเดินไปได้อีกไกล
ครั้งหนึ่งผู้เขียนเคยไปที่โรงพยาบาล เห็นเด็กน้อยคนหนึ่งกำลังหัดเดิน ใส่ผ้าอ้อมสำเร็จรูปตัวเดียว ซึ่งได้บทเรียนที่ดีมากๆ เด็กน้อยคนนั้น พยายามที่จะเดิน แม้จะล้มก็ลุกขึ้นแล้วก็ล้มแล้วล้มอีกนับครั้งไม่ถ้วน มองอยู่นานมากก็ไม่เห็นว่าเด็กน้อยจะมีทีท่าว่าล้มเลิกความพยายามที่จะเดิน จนเราซึ่งเป็นผู้ใหญ่ที่ยืนดูอยู่เห็นภาพสะท้อนนั้นคิดว่า ไม่ง่ายเลยกว่าจะเดินได้ จะว่าไปถ้าเอาหัวใจผู้ใหญ่ไปใส่อาจจะมีท้อบ้างก็ได้ถ้าในการที่จะทำอะไรสักอย่างแล้วต้องล้มบ่อยขนาดนั้น เพราะผู้ใหญ่มักนำประสบการณ์ต่างๆ ในอดีตมาร่วมในการตัดสินใจในการที่จะทำหรือไม่ทำอะไร แต่เด็กน้อยนั้น แค่อยากเดินไปที่เป้าหมาย เช่นหาของเล่น หรือแค่อยากเดินไปเพื่อหาอะไรใหม่ๆ ให้ชีวิตตัวเอง โดยที่เค้าไม่นึกถึงอย่างอื่นเลยนอกจากเป้าหมาย เด็กคนนั้นไม่ท้อไม่ว่าจะล้มกี่ครั้งก็ยังอยากลุกขึ้นเดินใหม่เสมอ
ที่ผู้ใหญ่อย่างเราอาจจะกลัวบางอย่างนั้น อาจเพราะบางครั้งตอนเราเป็นเด็กตัวเล็กๆ ผู้ใหญ่ที่อาจเป็นพ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดูคนรอบข้างเราซึ่งปรารถนาดีกับเรา ท่านมักห้าม ห้าม ห้าม เริ่มตั้งแต่ห้ามคลานไปทางนั้น ห้ามเดินมาทางนี้ ห้ามปีนเดี๋ยวตก ห้ามและอย่า เราเริ่มมีการสะสมความกลัวมาตั้งแต่ยังเด็กๆ พอเราโตขึ้นเราอาจยังคงติดความกลัวที่เกินพอดีนั้นอยู่ในใจลึกๆ เพียงแต่เนื้อเรื่องอาจเปลี่ยนไป เช่น กลัวไม่เป็นที่รัก กลัวทำงานไม่สำเร็จ เป็นต้น แล้วความกล้าหาญในการที่จะทำอะไรแบบเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ก็ค่อยๆ ถูกลดลงไป
เหมือนที่ตอนเราเป็นเด็กเราเล่นสนุกแค่ไหนเราสามารถมีความสุขได้กับสิ่งง่ายๆ ของเล่นเพียงน้อยชิ้นนั่งเล่นคนเดียวในสวนหลังบ้านได้อย่างสบายใจทั้งวัน ที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งก็คือ ตอนเราเป็นเด็กเราหาความสุขได้ง่ายกว่าตอนโต ยิ่งเด็กมากเท่าไร เรายิ่งมีความสุขได้ด้วยตัวเองมากเท่านั้น พอโตขึ้นในบางครั้งเรามีเงื่อนไขกับความสุขมากขึ้น เช่น รวยแล้วจะมีความสุข เมื่อได้ทำอย่างนี้แล้วจะมีความสุข ความสุขของเราขึ้นอยู่กับผู้อื่น
เมื่อเวลาผ่านไปแรมปี เราโตมากขึ้นอวัยวะต่างๆ ของเราโตขึ้นเซลล์ประสาทต่างๆ ทำงานได้ดีขึ้นสัมผัสความร้อนความเจ็บปวดเรามีความทรงจำต่างๆ มากมาย จำตอนเราเป็นเด็กได้มั้ยคะ เรามักได้ยินแม่หรือคนเลี้ยงเราบอกว่าให้แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง คุณครูก็สอนแต่เราไม่เคยเข้าใจเหตุผลว่าทำไมต้องแปรงอย่างน้อย 2 ครั้ง ก็จำตาม ๆ กันมา ขอเล่าอีกมุมอย่างนี้คะ คือมีแบคทีเรียราว 2 หมื่นล้านตัวในปากเรา ออกลูกออกหลานทุก 5 ชั่วโมงถ้าไม่แปรงฟัน 24 ชั่วโมงจาก 2 หมื่นล้านตัวนั้นจะกลายเป็น 1แสนล้านตัว พอจะฟังดูมีเหตุผลมากขึ้นไหมคะ น่าจะทำให้เราอยากแปรงฟันมากขึ้นบ้าง
สำหรับเด็กๆ อย่างเราทุกวันคือการผจญภัยเราได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ทุกวันจากการเล่นในตอนเด็กๆ ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากและช่วยสร้างจิตนาการเสริมสร้างการทำงานของสมอง ทำให้มีพัฒนาการทางด้านอารมณ์ที่ดีด้วย ตอนเป็นเด็กใครชอบเล่นอะไรกันบ้างคะ การเล่นมีมาทุกยุคทุกสมัย แม้รายละเอียดของการเล่นจะแปรเปลี่ยนรูปแบบหรือวิธีการเล่นไปตามแต่ละยุคสมัยและตามกาลเวลาแล้วก็ตาม มีบางทฤษฎีที่บอกให้สังเกตการเล่นของเด็ก ก็จะเห็นว่าเด็กมีพรสวรรค์ทางด้านใดเป็นพิเศษ อ่านถึงตรงนี้ ผู้เขียนอยากชวนท่านผู้อ่านได้ใช้เวลากับตัวท่านเองสักครู่ ลองหลับตา หายใจเข้าลึกๆ อมยิ้มเล็กๆ ในใจ แล้วนึกถึงในตอนที่เราเป็นเด็ก ของเล่นที่เราชอบเล่นคืออะไร เราได้มาจากไหน เราชอบเล่นกับใคร ตอนนั้น เรารู้สึกอย่างไรบ้าง ช่วยเล่าให้ตัวคุณที่เป็นผู้ใหญ่ในวันนี้ฟังสักนิด ง่ายๆ เพียงเท่านี้คุณก็ได้มีโอกาสสื่อสารให้ตัวคุณเองได้ฟังถึงประสบการณ์ที่เคยได้เกิดขึ้นกับเรา ได้อยู่กับตัวเองอย่างแท้จริงแม้เป็นช่วงเวลาสั้นๆ อยากได้ยินทุกเรื่องราวของคุณผู้อ่านเลยคะ
การเล่นไม่ได้ให้แค่ความเหน็ดเหนื่อยทางร่างกายเท่านั้น ทุกๆ ประสบการณ์ใหม่ๆไ ด้สร้างเส้นทางพิเศษนับพันๆล้ านสาย ระหว่างเซลล์ประสาท
ในสมองของเรามันคือ ความรู้สึกที่หนักเกินไปและนำไปสู่เพียงสิ่งเดียวคือ การนอนหลับ ช่วงแรกสมองที่เหนื่อยล้าจะหยุดทำงานขณะที่ร่างกายทำการฟื้นฟูพลังงานและซ่อมแซมเนื้อเยื่อส่วนที่เสียหายช่วงหลับฝันก็เข้าควบคุม เมื่อสมองกลับมามีชีวิตและก็เริ่มฝัน เมื่อเราฝันสมองก็จัดระบบใหม่จะตัดการเชื่อมโยงที่ไร้ประโยชน์ และเพิ่มกำลังให้ส่วนที่เป็นประโยชน์ช่วยให้เราส่งข้อมูลจากประสบการณ์ของเราไปยังที่ที่เหมาะสมและสิ่งอื่นๆที่เราทำในยามหลับ คือการเติบโตของร่างกายเรา เวลาผ่านไปร่างกายของเราโตขึ้น หัวใจเราก็โต มันจะเป็นเช่นนั้นตลอดชีวิตของเรา หัวใจจะมีขนาดเท่ากับกำปั้นข้างหนึ่งของเราเสมอ เหมือนที่เราเคยเรียนรู้มาตั้งแต่ชั้นประถม ถึงตอนนี้หัวใจของเราก็เต้นมาไม่รู้กี่ล้านครั้งแล้วพอเราเริ่มอายุช่วงประมาณก่อน 7 ขวบ ความสามารถในการจินตนาการเริ่มมีมากขึ้น ความคิดการกระทำคำพูดของทุกคนในบ้าน สิ่งแวดล้อมต่างๆ สำคัญมากๆ ต่อพัฒนาการของเด็กๆ มีประโยคเปรียบเปรยของอาจารย์ที่สอนผู้เขียนท่านพูดบ่อยๆคื อ “Monkey see Monkey do”คือ เด็กเห็นอย่างไรก็ทำอย่างนั้น การดูทีวีสอนให้เราเรียนรู้อะไรหลายอย่างตามนั้นด้วยเช่นกัน และเราเลียนแบบจดจำโดยไม่รู้ตัวว่า ทุกอย่างถูกซึมซับเข้ามาในตัวเราโดยอัตโนมัติ มีหลายครั้งที่ผู้เขียนได้มีโอกาสสังเกตพฤติกรรมของเด็กๆ มักจะมาจากหนังการ์ตูน ละคร ที่พวกเค้าดูหรือรายการทีวีต่างๆ เด็กสามารถจำคำพูดจำรายละเอียดมาได้อย่างดี ความรู้สึกถูกผิดในวัยนี้คือ “กุญแจสำคัญในบุคลิกภาพ” ที่กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็วของเด็กอย่างเราคะ
ฉบับหน้า เรามาเดินทางไปเข้าโรงเรียนด้วยกันนะคะ